พ่นกันสนิม ช่วงล่าง รถยนต์ Full Body Undercoating สูตรธรรมดา/สูตรโจตัน (ศรีราชา ชลบุรี)
"พ่นกันสนิม คืออะไร...?"
พ่นกันสนิมช่วงล่างรถยนต์ (Rust-Protect Undercoating) คือการพ่นเคลือบชิ้นโลหะช่วงล่างรถยนต์ เพื่อวัตถุประสงค์ป้องกันสนิมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อาจจะช้าบ้างเร็วบ้าง ขึ้นอยู่กับรถแต่ละคัน และการใช้งานของเจ้าของรถครับ รถแต่ละคัน จะมีสนิมมากน้อย หรือช้าเร็ว ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานค่อนข้างจะเป็นปัจจัยหลักทีเดียว แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หากไม่มีการป้องกัน สนิมก็จะเกิดขึ้นตามอายุแน่นอนครับ
"พ่นกันสนิมรถยนต์ ดีอย่างไร...?"
การพ่นกันสนิม แน่นอนว่าวัตถุประสงค์หลักๆที่เราต้องการคือการ "ป้องกันสนิม" ช่วงล่างรถยนต์ที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กหรือโลหะ ซึ่งหลังจากใช้งานไปสักระยะหนึ่ง สนิมจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนครับ แม้ว่ารถแต่ละคัน จะมีระยะเวลาที่จะเกิดสนิมไม่เท่ากัน แต่ไม่ช้าก็เร็ว สนิมก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็คงต้องเกิด เมื่อเราขับขี่รถไปบนท้องถนน รถเจอกับความชื้นจากน้ำฝน แอ่งน้ำ สัมผัสกับอากาศ เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นกับเหล็ก ก็จะทำให้เกิดปฏิกริยาเคมีที่ทำให้เกิดสนิมได้นั่นเอง
การพ่นกันสนิม จึงเข้ามามีส่วนตรงนี้ครับ
น้ำยากันสนิมที่ดี จะเข้าไปเคลือบประกบกับผิวโลหะ ป้องกันการสัมผัสกันของเหล็กกับอากาศ เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นได้นั่นเอง แต่ยังไงเสีย น้ำยาก็คือวัตถุสสารครับ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่ได้คงทนถาวรแบบพ่นครั้งเดียวอยู่ได้ 10-20 ปีครับ เมื่อเราขับขี่ไปสักพัก การเสียดสีกับอากาศ ฝุ่นละออง เม็ดหินดินทราย ย่อมทำให้เกิดการขัด (Scrub) ไปในตัว ทำให้ผิวเคลือบของน้ำยานั้นบางลงได้นั่นเองครับ
การพ่นกันสนิม แน่นอนว่าวัตถุประสงค์หลักๆที่เราต้องการคือการ "ป้องกันสนิม" ช่วงล่างรถยนต์ที่ส่วนใหญ่เป็นเหล็กหรือโลหะ ซึ่งหลังจากใช้งานไปสักระยะหนึ่ง สนิมจะต้องเกิดขึ้นแน่นอนครับ แม้ว่ารถแต่ละคัน จะมีระยะเวลาที่จะเกิดสนิมไม่เท่ากัน แต่ไม่ช้าก็เร็ว สนิมก็เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็คงต้องเกิด เมื่อเราขับขี่รถไปบนท้องถนน รถเจอกับความชื้นจากน้ำฝน แอ่งน้ำ สัมผัสกับอากาศ เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นกับเหล็ก ก็จะทำให้เกิดปฏิกริยาเคมีที่ทำให้เกิดสนิมได้นั่นเอง
การพ่นกันสนิม จึงเข้ามามีส่วนตรงนี้ครับ
น้ำยากันสนิมที่ดี จะเข้าไปเคลือบประกบกับผิวโลหะ ป้องกันการสัมผัสกันของเหล็กกับอากาศ เพื่อไม่ให้เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นได้นั่นเอง แต่ยังไงเสีย น้ำยาก็คือวัตถุสสารครับ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันไม่ได้คงทนถาวรแบบพ่นครั้งเดียวอยู่ได้ 10-20 ปีครับ เมื่อเราขับขี่ไปสักพัก การเสียดสีกับอากาศ ฝุ่นละออง เม็ดหินดินทราย ย่อมทำให้เกิดการขัด (Scrub) ไปในตัว ทำให้ผิวเคลือบของน้ำยานั้นบางลงได้นั่นเองครับ
"ตัวรถใหม่ป้ายแดง มีพ่นกันสนิมมาให้จากโรงงานแล้วไม่ใช่เหรอ?"
จริงๆแล้วการเคลือบโลหะช่วงล่างจากโรงงานผลิตรถยนต์นั้น วัตถุประสงค์หลักคือการชุบแข็งเพื่อเพิ่มความแข็งแรงทนทานครับ มันมีองค์ประกอบที่ทำให้ตัวเหล็กนั้นมีผิวนอกที่แข็งแรงทนทานมากขึ้น แต่ไม่ได้สร้างมาเพื่อป้องกันสนิมเป็นหลักครับ อย่างที่ได้แจ้งไปก่อนหน้า บ้านเมืองเราเป็นเขตร้อนชื้นครับ เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดด แถมยังมีการล้างอัดฉีดอีกด้วย เหล็กเจอน้ำเจอความชื้น ยังไงสนิมก็มาครับ เลี่ยงได้ยากจริงๆ
"ปัจจัยหรือสาเหตุที่ทำให้รถเป็นสนิม มีอะไรบ้าง?
ในที่นี้ผมขอกล่าวถึงสนิมที่เกิดขึ้นกับช่วงล่างรถยนต์เป็นหลักนะครับ
แน่นอนว่าการเกิดสนิมย่อมมีจุดเริ่มต้นกับปฏิกริยาออกซิเดชั่น คืออากาศสัมผัสกับเหล็กโดยตรงแล้วค่อยๆเปลี่ยนเนื้อเหล็กเป็นสนิม แต่ตัวกลางที่เร่งปฏิกริยานั้นได้ดีมากๆตัวหนึ่งคือ "น้ำ" หรือ "ความชื้น" นั่นเองครับ
จากประสบการณ์ตรงที่พบเห็นมา จะสังเกตุได้ว่า รถที่ลุยฝนบ่อยๆ รถที่อยู่ใกล้ทะเล หรือรถที่ล้างอัดฉีดช่วงล่างเป็นประจำ จะมีโอกาสเกิดสนิมได้ง่ายและเร็วกว่ารถที่ใช้งานแบบอื่นๆ นั่นเพราะปัจจัยอย่าง ฝน น้ำทะเล หรือน้ำประปา นั้นทำให้ช่วงล่างเราเปียก ชื้น และเร่งปฏิกริยาเกิดสนิมได้เร็วกว่ารถที่แห้งๆนั่นเองครับ
ตัวอย่างที่ผมมักจะยกมาเล่าให้ลูกค้าฟังเป็นประจำ คือเรื่องของลูกค้าท่านนึงที่ออกรถใหม่พร้อมกับญาติที่อยู่บ้านติดกัน รถรุ่นเดียวกัน ยี่ห้อเดียวกัน คือแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง แตกต่างกันอย่างเดียวคือ การใช้งานครับ
ลูกค้าท่านนี้มีการล้างอัดฉีดรถเป็นประจำ (การล้างอัดฉีดคือการล้างรถแล้วให้ฉีดน้ำล้างช่วงล่างให้สะอาดด้วยนั่นเอง) พบว่า แค่ไม่ถึง 3 เดือน ช่วงล่างรถเริ่มมีสนิมเกิดขึ้นแล้ว
แต่รถญาตบ้านข้างๆกัน ที่ใช้งานปกติเหมือนกัน เพียงแต่ แทบจะไม่เคยล้างรถเลย กลับมองไม่เห็นสนิมเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะ การล้างอัดฉีดนั้น คือการเอาน้ำไปฉีดช่วงล่างรถยนต์จนเปียก แน่นอนว่ามันล้างคราบดินคราบทรายออกได้ครับ ทำให้รถสะอาด แต่ก็ไม่ได้นานเท่าไหร่นักหรอกครับ ขับรถไปสักวันสองวัน มันก็กลับมาเลอะฝุ่นดินทรายเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ตกค้างอยู่หลังจากการล้างอัดฉีดคือ ความชื้นที่สะสมเป็นเวลานานครับ ซึ่งเอาจริงๆแล้ว หากต้องการให้ช่วงล่างนั้นสะอาด หลังล้างอัดฉีดแล้ว ก็ต้องเป่าให้แห้งด้วย แต่คาร์แคร์ส่วนใหญ่คงจะไม่มีบริการแบบนั้นครับ
"พ่นกันสนิมไปแล้ว อยู่ได้กี่ปี...?"
ตอบยากครับข้อนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วย หลักๆก็คือชนิด หรือสูตรของน้ำยาพ่นกันสนิมครับ แต่ละสูตรจะมีคุณลักษณะข้อดีข้อเสียแตกต่างกันครับ ซึ่งก็ทำให้การคงสภาพหรือความทนทานนั้นแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งถ้าหากให้แยกสูตรของน้ำยาพ่นกันสนิมออกมาแล้ว สามารถแยกได้คร่าวๆ ..ประเภท ดังนี้ครับ
1. สูตรจารบี
สูตรเก่าแก่ดั้งเดิมครับ มีความเป็นมาโดยเริ่มต้น คล้ายๆกับการต้องการป้องกันชิ้นส่วนงานเหล็กหรือโลหะด้วยน้ำมันชโลมเปียกเพื่อป้องกันการเกิดสนิม จารบีที่มีความเป็นไขคล้ายๆ wax หรือขี้ผึ้ง จึงเป็นตัวเลือกของการกันสนิมด้วยวิธีนี้ครับ เป็นวิธีดั้งเดิมที่ค่อนข้างจะโบราณมาก ปัจจุบันเรียกได้ว่าแทบจะหาไม่เจอแล้วว่ามีการป้องกันสนิมด้วยวิธีที่ไหนบ้าง เพราะผลเสียที่ตามมาค่อนข้างเยอะครับ
เนื่องจากการขับขี่ของเรานั้น ต้องมีการดีดเศษฝุ่นหินดินทราย ตีวนม้วนต้วนอยู่ใต้รถเราแทบจะตลอดเวลาที่ล้อหมุนอยู่แล้ว เศษสิ่งสกปรกต่างๆเหล่านั้น จึงมักจะขึ้นมาติดแน่นกับผิวจารบี ฝังตัวอยู่ตลอดเวลา จะล้างออกก็ทำได้ยาก เพราะมันเป็นส่วนผสมของน้ำมัน ไม่ถูกกับน้ำอยู่แล้ว อาจจะป้องกันสนิมได้ประมาณหนึ่ง แต่สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ช่วงล่างนั้น กลับเป็นปัญหาที่ตามมาทีหลังอย่างไม่จบสิ้นจริงๆครับ เพราะเวลาเราจะบำรุงรักษาช่วงล่างแต่ละที จะทำได้ยากเย็นและสกปรกสุดๆ จนสุดท้าย แทบจะทุกคันที่ผมพบเจอว่าป้องกันสนิมด้วยจารบี มักจะจบลงด้วยการเสียเงินเป็นจำนวนมาก เพียงเพื่อพยายามจะล้างคราบจารบีและสิ่งสกปรกนั้นออกจากช่วงล่างรถตัวเองเสียมากกว่า ที่จะกังวลเรื่องสนิมที่ตามมาครับ
ส่วนเรื่องการป้องกันสนิมแล้วนั้น ผมให้คุณภาพอยู่ที่ 1/5 คะแนนครับ
เนื่องจาก จารบีนั้น สถานะมันไม่เสถียรที่สุดครับ อาจจะป้องกันสนิมได้บ้าง แต่ไม่ยาวนานเป็นแน่ครับผม
2. สูตรยางมะตอย
สูตรยอดนิยมในอดีตอีกสูตรนึงที่ถูกพัฒนามาต่อจากการใช้จารบีครับ
สูตรยางมะตอยถูกผลิตออกมาโดยผู้ผลิตงานเคมีเพื่อรถยนต์หลายเจ้าเลยทีเดียวครับ ระยะหลังๆถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของสเปรย์กระป๋องขนาดพอดีมือ สามารถพ่นได้ง่ายด้วยตัวเองครับ แต่ด้วยขนาดกระป๋องที่เล็กเกินไป การจะพ่นให้ได้ปริมาณช่วงล่างรถทั้งคัน จะต้องใช้หลายกระป๋องทีเดียวครับ ยังไม่รวมกับความหนาที่เราอาจต้องการด้วย ก็จะทำให้ต้นทุนในการพ่นนั้นสูงยิ่งขึ้นไปอีก
อีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าตัวสูตรยางมะตอยนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ก็เพราะว่ามันมีลักษณะเหนียว แห้งช้า และดูดเอาสิ่งสกปรกระหว่างการขับรถมาติดได้ง่ายมากๆไม่แพ้สูตรจารบีเลยทีเดียวครับ ทำให้หลังๆ ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมเท่าไหร่นักเช่นกัน
ส่วนความสามารถในการป้องกันสนิม ผมให้อยู่ที่ 2/5 คะแนนครับ
3. สูตรสีฝุ่น (หรือทัฟโค้ตแบบเก่า)
เรียกกันว่าสูตรทัฟโค้ต ตามชื่อบริษัทดังที่ผลิตงานสีฝุ่นนี้ออกมาเพื่อพ่นกันสนิมโดยตรงนั่นเองครับ ได้รับความนิยมอยู่ช่วงใหญ่ๆระยะนึงเลยทีเดียว เพราะมันเปลี่ยนแนวคิดของสารพ่นกันสนิมจากของเหลว ไปเป็นของแข็งครับ นั่นคือลักษณะคล้ายสีฝุ่นนั่นเอง
เจ้าตัวนี้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับจารบีหรือยางมะตอยครับ เพียงแต่ว่า เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปเรื่อยๆ เคมีใหม่ๆถูกผลิตออกสู่ตลาด ทำให้การใช้สูตรสีฝุ่นนั้น ได้รับความนิยมน้อยลงไป เนื่องจากอายุการใช้งานของมันนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยของการใช้งานรถเป็นหลัก สูตรสีฝุ่นนี้ ส่วนใหญ่ใช้พ่นกับรถบรรทุกเพื่อยืดอายุการใช้งาน แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีครับ ถนนบ้านเมืองเราไม่ได้สะอาดนัก เศษหินดินทรายนั้นกระจายเต็มพื้นถนนเราไปหมด ทำให้มันเกิดการกระแทกและกระเทาะหลุดได้ง่าย ซึ่งเมื่อสีฝุ่นนั้นถูกกระเทาะให้บางลงไปที่จุดใด สนิมก็จะเริ่มเกิดขึ้นที่จุดนั้นได้ง่ายๆนั่นเองครับ
แต่ถามว่า ดีกว่า 2 สูตรแรกไหม..?
ส่วนตัวผมคิดว่าดีกว่าครับ
ผมจึงขอให้คะแนนการป้องกันสนิมอยู่ที่ 3/5 คะแนนครับ
4. สูตรแอลคีต
เป็นสูตรที่ปกติแล้ว อู่รถทั่วๆไปมักจะพ่นให้กับลูกค้าที่ต้องการงานพ่นแบบง่ายๆครับ หลักการนั้นไม่ซับซ้อน คล้ายกับการพ่นสีทับหน้าโดยทั่วไป เมื่อน้ำยาพ่นกันสนิมผสมกับทินเนอร์หรือน้ำมันสน ก็สามารถพ่นผ่านกาพ่นสีได้เลย ใช้งานไม่ยากครับ และเร็วด้วย อู่ต่างๆจึงมักจะมีตัวเลือกน้ำยากันสนิมแบบนี้กันเสียเยอะ ส่วนมากมักจะเรียกว่า "สูตรธรรมดา" หรือ "สูตรทั่วไป" ครับ รวมไปถึง บางครั้ง ศูนย์รถยนต์ที่ขายรถป้ายแดง เมื่อนำรถไปพ่นกันสนิมแถมฟรีให้ลูกค้า การพ่นกันสนิมแบบนี้ก็จะมักจะเป็นทางเลือกหนึ่งด้วยเช่นกันครับ เพราะง่าย ใช้เวลาน้อย และต้นทุนไม่สูงมากนักครับผม
ความสามารถในการป้องกันสนิม ส่วนตัวผมให้ที่ 3/5 คะแนนครับ
5. สูตรน้ำ
สูตรยอดนิยมที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อการป้องกันสนิมโดยเฉพาะ สูตรน้ำเป็นน้ำยาป้องกันสนิมที่มีความแพร่หลายในเรื่องของยี่ห้อและแบรนด์ผู้ผลิตอย่างมากครับ เนื่องด้วยเพราะการตอบโจทย์ที่ชัดเจน และตรงจุดในหลายๆเรื่อง การใช้งานก็ง่ายสำหรับผู้พ่น เพียงใช้กาพ่นหรือหัวปืนแรงดัน ก็สามารถพ่นน้ำยาได้เลยทันที ไม่ต้องมีส่วนผสมอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก แบ่งจากแกลลอนใหญ่ ใส่กาพ่นแล้วสามารถพ่นได้เลยครับ แถมสูตรน้ำส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อพ่นกับผิวเหล็กโดยเฉพาะ ทำให้เวลาพ่นแล้วละอองไปโดนที่ผิวสีรถ ก็สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดออกได้ง่ายทันที ไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก ร้านพ่นกันสนิมที่ได้มาตราฐานส่วนมาก จึงเลือกสูตรน้ำเป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับงานพ่นกันสนิมเลยครับ
ด้วยความเป็นที่นิยมอย่างมากของมัน ทำให้แบรนด์ใหญ่ๆหลายเจ้า เลือกเข้ามาจับการผลิตน้ำยาพ่นกันสนิมสูตรน้ำนี้เป็นจำนวนมากครับ ทั้ง Carlack หรือ Sika ก็อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์หลายๆเจ้า ก็สามารถรับผลิตน้ำยาสูตรน้ำเหล่านี้ ส่งขายเป็นจำนวนมากให้กับเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเองได้เช่นกันครับ ในตลาดก็มีหลายเจ้าอยู่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเองเหล่านี้ครับผม
ข้อเสียสำหรับสูตรน้ำนั้น แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ครับ ส่วนตัวผมจึงให้คะแนนสูตรน้ำนี้อยู่ที่ 4.5/5 คะแนนเลยทีเดียว
6. สูตร 2K (สูตรโจตัน คือสูตรนี้ครับ)
เป็นสูตรที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการความแข็งแรงถึงขีดสุดครับ เนื่องด้วยสูตร 2K นี้ เป็นสูตรที่ต้องมีการผสมน้ำยาด้วยสารตั้งต้นตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่ จะมี Hardener หรือตัวเคลือบแข็งเป็นส่วนประกอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องและความแข็งแรงให้สูงที่สุด ซึ่งสูตรโจตันที่ทางร้านใช้อยู่ ก็เป็นสูตรนี้ครับ โจตันนั้นผลิตน้ำยาป้องกันสนิมเพื่อใช้กับเรือเดินสมุทรขึ้นมาโดยเฉพาะเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น เรื่องการกัดเซาะจากน้ำเค็มหรือป้องกันความชื้น จึงไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยสำหรับงานพ่นกันสนิมสูตรนี้ ถ้าจะมีข้อเสีย ก็คงเป็นแค่เรื่องของความยุ่งยากในการเตรียมงานก่อนพ่นเท่านั้นครับ ที่อาจจะต้องใช้ประสบการณ์ประมาณหนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะพ่นได้ แต่ก็แลกมาด้วยความแข็งแรงที่สูงมากๆครับ ถึงขั้นที่ว่า หากไม่มีการเสียดสีหรือกระแทกเป็นเวลานานแล้ว การจะเอาน้ำยาสูตรนี้ที่แข็งแล้วออกจากพื้นผิวโลหะได้ อาจต้องใช้น้ำกรดกันเลยทีเดียวครับ
ผมเลยให้คะแนนสูตร 2K นี้อยู่ที่ 4.5/5 คะแนนครับ
หักนิดหน่อย เนื่องจากความยุ่งยากในการเตรียมการเท่านั้นครับผม
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนก็ตาม การเลือกพ่นกันสนิมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของรถเป็นหลักครับ ว่าชอบงานของสูตรไหน และที่สำคัญกว่าคือ คุณภาพการทำงานของร้านพ่นกันสนิมแต่ละร้านด้วยครับ ที่รายละเอียดจะแตกต่างกันมากน้อยอย่างไร อันนี้ เจ้าของรถต้องเป็นฝ่ายพูดคุยสื่อสารกับทางร้านจนเข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจพ่นกันสนิม จะเป็นการดีที่สุดครับผม ^ ^
ตอบยากครับข้อนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วย หลักๆก็คือชนิด หรือสูตรของน้ำยาพ่นกันสนิมครับ แต่ละสูตรจะมีคุณลักษณะข้อดีข้อเสียแตกต่างกันครับ ซึ่งก็ทำให้การคงสภาพหรือความทนทานนั้นแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งถ้าหากให้แยกสูตรของน้ำยาพ่นกันสนิมออกมาแล้ว สามารถแยกได้คร่าวๆ ..ประเภท ดังนี้ครับ
1. สูตรจารบี
สูตรเก่าแก่ดั้งเดิมครับ มีความเป็นมาโดยเริ่มต้น คล้ายๆกับการต้องการป้องกันชิ้นส่วนงานเหล็กหรือโลหะด้วยน้ำมันชโลมเปียกเพื่อป้องกันการเกิดสนิม จารบีที่มีความเป็นไขคล้ายๆ wax หรือขี้ผึ้ง จึงเป็นตัวเลือกของการกันสนิมด้วยวิธีนี้ครับ เป็นวิธีดั้งเดิมที่ค่อนข้างจะโบราณมาก ปัจจุบันเรียกได้ว่าแทบจะหาไม่เจอแล้วว่ามีการป้องกันสนิมด้วยวิธีที่ไหนบ้าง เพราะผลเสียที่ตามมาค่อนข้างเยอะครับ
เนื่องจากการขับขี่ของเรานั้น ต้องมีการดีดเศษฝุ่นหินดินทราย ตีวนม้วนต้วนอยู่ใต้รถเราแทบจะตลอดเวลาที่ล้อหมุนอยู่แล้ว เศษสิ่งสกปรกต่างๆเหล่านั้น จึงมักจะขึ้นมาติดแน่นกับผิวจารบี ฝังตัวอยู่ตลอดเวลา จะล้างออกก็ทำได้ยาก เพราะมันเป็นส่วนผสมของน้ำมัน ไม่ถูกกับน้ำอยู่แล้ว อาจจะป้องกันสนิมได้ประมาณหนึ่ง แต่สิ่งสกปรกที่ติดอยู่ช่วงล่างนั้น กลับเป็นปัญหาที่ตามมาทีหลังอย่างไม่จบสิ้นจริงๆครับ เพราะเวลาเราจะบำรุงรักษาช่วงล่างแต่ละที จะทำได้ยากเย็นและสกปรกสุดๆ จนสุดท้าย แทบจะทุกคันที่ผมพบเจอว่าป้องกันสนิมด้วยจารบี มักจะจบลงด้วยการเสียเงินเป็นจำนวนมาก เพียงเพื่อพยายามจะล้างคราบจารบีและสิ่งสกปรกนั้นออกจากช่วงล่างรถตัวเองเสียมากกว่า ที่จะกังวลเรื่องสนิมที่ตามมาครับ
ส่วนเรื่องการป้องกันสนิมแล้วนั้น ผมให้คุณภาพอยู่ที่ 1/5 คะแนนครับ
เนื่องจาก จารบีนั้น สถานะมันไม่เสถียรที่สุดครับ อาจจะป้องกันสนิมได้บ้าง แต่ไม่ยาวนานเป็นแน่ครับผม
2. สูตรยางมะตอย
สูตรยอดนิยมในอดีตอีกสูตรนึงที่ถูกพัฒนามาต่อจากการใช้จารบีครับ
สูตรยางมะตอยถูกผลิตออกมาโดยผู้ผลิตงานเคมีเพื่อรถยนต์หลายเจ้าเลยทีเดียวครับ ระยะหลังๆถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของสเปรย์กระป๋องขนาดพอดีมือ สามารถพ่นได้ง่ายด้วยตัวเองครับ แต่ด้วยขนาดกระป๋องที่เล็กเกินไป การจะพ่นให้ได้ปริมาณช่วงล่างรถทั้งคัน จะต้องใช้หลายกระป๋องทีเดียวครับ ยังไม่รวมกับความหนาที่เราอาจต้องการด้วย ก็จะทำให้ต้นทุนในการพ่นนั้นสูงยิ่งขึ้นไปอีก
อีกเหตุผลหนึ่งที่เจ้าตัวสูตรยางมะตอยนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก ก็เพราะว่ามันมีลักษณะเหนียว แห้งช้า และดูดเอาสิ่งสกปรกระหว่างการขับรถมาติดได้ง่ายมากๆไม่แพ้สูตรจารบีเลยทีเดียวครับ ทำให้หลังๆ ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมเท่าไหร่นักเช่นกัน
ส่วนความสามารถในการป้องกันสนิม ผมให้อยู่ที่ 2/5 คะแนนครับ
3. สูตรสีฝุ่น (หรือทัฟโค้ตแบบเก่า)
เรียกกันว่าสูตรทัฟโค้ต ตามชื่อบริษัทดังที่ผลิตงานสีฝุ่นนี้ออกมาเพื่อพ่นกันสนิมโดยตรงนั่นเองครับ ได้รับความนิยมอยู่ช่วงใหญ่ๆระยะนึงเลยทีเดียว เพราะมันเปลี่ยนแนวคิดของสารพ่นกันสนิมจากของเหลว ไปเป็นของแข็งครับ นั่นคือลักษณะคล้ายสีฝุ่นนั่นเอง
เจ้าตัวนี้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับจารบีหรือยางมะตอยครับ เพียงแต่ว่า เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปเรื่อยๆ เคมีใหม่ๆถูกผลิตออกสู่ตลาด ทำให้การใช้สูตรสีฝุ่นนั้น ได้รับความนิยมน้อยลงไป เนื่องจากอายุการใช้งานของมันนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยของการใช้งานรถเป็นหลัก สูตรสีฝุ่นนี้ ส่วนใหญ่ใช้พ่นกับรถบรรทุกเพื่อยืดอายุการใช้งาน แต่ก็อย่างที่เราทราบกันดีครับ ถนนบ้านเมืองเราไม่ได้สะอาดนัก เศษหินดินทรายนั้นกระจายเต็มพื้นถนนเราไปหมด ทำให้มันเกิดการกระแทกและกระเทาะหลุดได้ง่าย ซึ่งเมื่อสีฝุ่นนั้นถูกกระเทาะให้บางลงไปที่จุดใด สนิมก็จะเริ่มเกิดขึ้นที่จุดนั้นได้ง่ายๆนั่นเองครับ
แต่ถามว่า ดีกว่า 2 สูตรแรกไหม..?
ส่วนตัวผมคิดว่าดีกว่าครับ
ผมจึงขอให้คะแนนการป้องกันสนิมอยู่ที่ 3/5 คะแนนครับ
4. สูตรแอลคีต
เป็นสูตรที่ปกติแล้ว อู่รถทั่วๆไปมักจะพ่นให้กับลูกค้าที่ต้องการงานพ่นแบบง่ายๆครับ หลักการนั้นไม่ซับซ้อน คล้ายกับการพ่นสีทับหน้าโดยทั่วไป เมื่อน้ำยาพ่นกันสนิมผสมกับทินเนอร์หรือน้ำมันสน ก็สามารถพ่นผ่านกาพ่นสีได้เลย ใช้งานไม่ยากครับ และเร็วด้วย อู่ต่างๆจึงมักจะมีตัวเลือกน้ำยากันสนิมแบบนี้กันเสียเยอะ ส่วนมากมักจะเรียกว่า "สูตรธรรมดา" หรือ "สูตรทั่วไป" ครับ รวมไปถึง บางครั้ง ศูนย์รถยนต์ที่ขายรถป้ายแดง เมื่อนำรถไปพ่นกันสนิมแถมฟรีให้ลูกค้า การพ่นกันสนิมแบบนี้ก็จะมักจะเป็นทางเลือกหนึ่งด้วยเช่นกันครับ เพราะง่าย ใช้เวลาน้อย และต้นทุนไม่สูงมากนักครับผม
ความสามารถในการป้องกันสนิม ส่วนตัวผมให้ที่ 3/5 คะแนนครับ
5. สูตรน้ำ
สูตรยอดนิยมที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อการป้องกันสนิมโดยเฉพาะ สูตรน้ำเป็นน้ำยาป้องกันสนิมที่มีความแพร่หลายในเรื่องของยี่ห้อและแบรนด์ผู้ผลิตอย่างมากครับ เนื่องด้วยเพราะการตอบโจทย์ที่ชัดเจน และตรงจุดในหลายๆเรื่อง การใช้งานก็ง่ายสำหรับผู้พ่น เพียงใช้กาพ่นหรือหัวปืนแรงดัน ก็สามารถพ่นน้ำยาได้เลยทันที ไม่ต้องมีส่วนผสมอะไรเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก แบ่งจากแกลลอนใหญ่ ใส่กาพ่นแล้วสามารถพ่นได้เลยครับ แถมสูตรน้ำส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อพ่นกับผิวเหล็กโดยเฉพาะ ทำให้เวลาพ่นแล้วละอองไปโดนที่ผิวสีรถ ก็สามารถเช็ดล้างทำความสะอาดออกได้ง่ายทันที ไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก ร้านพ่นกันสนิมที่ได้มาตราฐานส่วนมาก จึงเลือกสูตรน้ำเป็นตัวเลือกแรกๆสำหรับงานพ่นกันสนิมเลยครับ
ด้วยความเป็นที่นิยมอย่างมากของมัน ทำให้แบรนด์ใหญ่ๆหลายเจ้า เลือกเข้ามาจับการผลิตน้ำยาพ่นกันสนิมสูตรน้ำนี้เป็นจำนวนมากครับ ทั้ง Carlack หรือ Sika ก็อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์หลายๆเจ้า ก็สามารถรับผลิตน้ำยาสูตรน้ำเหล่านี้ ส่งขายเป็นจำนวนมากให้กับเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเองได้เช่นกันครับ ในตลาดก็มีหลายเจ้าอยู่ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเองเหล่านี้ครับผม
ข้อเสียสำหรับสูตรน้ำนั้น แทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้ครับ ส่วนตัวผมจึงให้คะแนนสูตรน้ำนี้อยู่ที่ 4.5/5 คะแนนเลยทีเดียว
6. สูตร 2K (สูตรโจตัน คือสูตรนี้ครับ)
เป็นสูตรที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการความแข็งแรงถึงขีดสุดครับ เนื่องด้วยสูตร 2K นี้ เป็นสูตรที่ต้องมีการผสมน้ำยาด้วยสารตั้งต้นตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่ จะมี Hardener หรือตัวเคลือบแข็งเป็นส่วนประกอบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปกป้องและความแข็งแรงให้สูงที่สุด ซึ่งสูตรโจตันที่ทางร้านใช้อยู่ ก็เป็นสูตรนี้ครับ โจตันนั้นผลิตน้ำยาป้องกันสนิมเพื่อใช้กับเรือเดินสมุทรขึ้นมาโดยเฉพาะเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น เรื่องการกัดเซาะจากน้ำเค็มหรือป้องกันความชื้น จึงไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยสำหรับงานพ่นกันสนิมสูตรนี้ ถ้าจะมีข้อเสีย ก็คงเป็นแค่เรื่องของความยุ่งยากในการเตรียมงานก่อนพ่นเท่านั้นครับ ที่อาจจะต้องใช้ประสบการณ์ประมาณหนึ่งเลยทีเดียวกว่าจะพ่นได้ แต่ก็แลกมาด้วยความแข็งแรงที่สูงมากๆครับ ถึงขั้นที่ว่า หากไม่มีการเสียดสีหรือกระแทกเป็นเวลานานแล้ว การจะเอาน้ำยาสูตรนี้ที่แข็งแล้วออกจากพื้นผิวโลหะได้ อาจต้องใช้น้ำกรดกันเลยทีเดียวครับ
ผมเลยให้คะแนนสูตร 2K นี้อยู่ที่ 4.5/5 คะแนนครับ
หักนิดหน่อย เนื่องจากความยุ่งยากในการเตรียมการเท่านั้นครับผม
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนก็ตาม การเลือกพ่นกันสนิมนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของรถเป็นหลักครับ ว่าชอบงานของสูตรไหน และที่สำคัญกว่าคือ คุณภาพการทำงานของร้านพ่นกันสนิมแต่ละร้านด้วยครับ ที่รายละเอียดจะแตกต่างกันมากน้อยอย่างไร อันนี้ เจ้าของรถต้องเป็นฝ่ายพูดคุยสื่อสารกับทางร้านจนเข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจพ่นกันสนิม จะเป็นการดีที่สุดครับผม ^ ^
ทำไมต้องพ่นกับเรา?
เหตุผลหลักๆที่ทางร้านผมจะเน้นมากๆคือ งานพ่นกันสนิมนั้น ล้วนมีองค์ประกอบและรายละเอียดค่อนข้างเยอะครับ จริงๆแล้วการพ่นกันสนิมอย่างง่ายๆที่ทั่วๆไปทำกันก็ไม่ได้ยากอะไรครับ แค่ขับรถขึ้นแท่น แล้วผสมน้ำยาพ่นทันทีเลยก็ได้เหมือนกัน แต่ผลกระทบและสิ่งที่ตามมาอาจจะไม่คุ้มค่านัก
เช่นเรื่อง การปิดชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยา หรือการเก็บละอองสีหลังจากพ่นเสร็จ เรื่องพวกนี้ถ้าไม่ระวังหรือไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ อาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ครับ
ชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องปิดให้เรียบร้อยก่อนพ่น ก็จะมีโช้ค เพลาขับกลาง ท่อไอเสีย ลูกยางต่างๆ และของแต่งรถ ฯลฯ หรือส่วนต่างๆที่ลูกค้าต้องการให้พ่นหรือไม่พ่น อันนี้ต้องคุยกันกับลูกค้าก่อน แต่ถ้าไม่มีอะไรพิเศษเพิ่มเติม ก็จะประมาณนี้ครับ
อย่างเช่นพวกลูกยางต่างๆนั้น ถ้าไปพ่นโดน พอน้ำยามันแข็ง ลูกยางก็จะเสื่อมสภาพได้ง่ายครับ หรืออย่างท่อไอเสีย เป็นชิ้นส่วนที่มีความร้อน และต้องการคลายความร้อนตลอดเวลา หากมีน้ำยาไปติด สักพัก มันจะไหม้และส่งกลิ่นเหม็นได้ครับ การกระจายความร้อนก็จะแย่ลงไปด้วย ยังไม่รวมกลิ่นเหม็นที่อาจตามมาด้วยครับ
ซึ่งเท่าที่ทราบจากลูกค้ามา การไปพ่นกันสนิมกับอู่หรือร้านที่ไม่ได้เน้นตรงนี้เป็นพิเศษ ก็มักจะก่อปัญหาอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ที่จะเห็นได้ชัดๆหน่อยก็คือ การแถมพ่นกันสนิมฟรีมากับรถใหม่ป้ายแดง อันนี้ลูกค้าส่วนมาก มักจะไม่ทราบว่า ทางศูนย์ที่เราไปออกรถนั้น เขาจะนำรถป้ายแดงของเราไปพ่นกันสนิมให้ที่อู่อีกทีหนึ่ง ไม่ได้พ่นกันสนิมมาจากโรงงานโดยตรงครับ เพราะฉะนั้น งานจะออกมาดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับอู่ที่เขาเอารถเราไปทำนั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับยี่ห้อรถ หรือโรงงานผลิตแต่อย่างใดครับ
ที่เจอหนักสุดๆมาเลยคือ พ่นกันสนิมเฉพาะแชทซี แล้วเลอะช่วงล่างหนักมากครับ ละอองปลิวกระจายเต็มไปหมด เอารถขึ้นฮ้อยส์ถึงได้ทราบว่า ช่วงล่างนั้นเละแค่ไหน แถมยังมีละอองน้ำยาพ่นที่แห้งแข็ง กระจายติดอยู่เต็มรอบคันรถไปหมด นั่นเพราะหลังพ่นเสร็จ ไม่ได้มีการเช็ดน้ำยาออกก่อนที่มันจะแห้งนั่นเองครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน ว่าจะมีการลงรายละเอียดให้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นและสัมผัสมา งานที่มีรายละเอียดเยอะ จะต้องใช้เวลานานครับ ถ้ารถคันนึงใช้เวลาทำการพ่นแค่ชั่วโมงเดียวเสร็จ อันนี้ให้พึงระวังครับ ว่างานอาจจะไม่ได้มีการเตรียมผิวให้ดีก่อนพ่น หรือหลังพ่นอาจจะไม่ได้มีการเก็บรายละเอียดที่เหมาะสมได้เช่นกัน
"การเตรียมความพร้อมก่อนพ่นกันสนิม มีอะไรบ้าง..?"
ร้านผมจะเน้นไปที่การ "เคลียร์ผิวให้สะอาด" กับการ "ปกป้องชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยาพ่น" ครับ
การเคลียร์ผิว นั่นก็คือการล้างอัดฉีดช่วงล่างให้สะอาด คราบดินคราบโคลนต้องหายหมดครับ ไม่งั้นพ่นไม่ติดแน่นอน ถ้าไปอู่ที่ขับรถมาถึงแล้วขึ้นพ่นเลยทันที ตัวน้ำยาก็น่าจะยึดเกาะได้ไม่ดีเท่าที่ควรนัก
หลังจากล้างสะอาดแล้ว ก็ต้องเช็ดให้แห้งครับ ผมจะนำรถขึ้นแท่นแล้วเป่าช่วงล่างให้แห้งก่อน พร้อมกับเริ่มปิดกระดาษป้องกันชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยาด้วย อย่างเช่น โช้ค เพลาขับกลาง ท่อไอเสีย หรือลูกยาง อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นครับ
รวมไปถึง การปิดกระดาษและคลุมรถรอบคันเพื่อป้องกันละอองน้ำยาที่ฟุ้งกระจายระหว่างพ่น ให้มาโดนผิวตัวรถน้อยที่สุดครับ แต่แม้จะปิดหรือปกป้องดีแค่ไหนก็ตาม ยังไงก็จะยังคงมีละอองที่ละเอียดและมองเห็นได้ยาก ปลิวมาติดตัวรถไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ ซึ่งถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ ก็จะทำให้ละอองสีนั้นแข็งตัว และเกาะกับผิวแลคเกอร์รถเรา ทำให้รถเราหมองและสากมือได้ เหมือนมีละอองสีจำนวนมากมาติดที่ตัวรถเราครับ ^ ^
ซึ่งนั่นคือเหตุผลหลักๆ ที่เราต้องมีกระบวนการเช็ดผิวเก็บรายละเอียดของงานพ่นกันสนิม หลังจากพ่นเสร็จแล้วนั่นเองครับ
เหตุผลหลักๆที่ทางร้านผมจะเน้นมากๆคือ งานพ่นกันสนิมนั้น ล้วนมีองค์ประกอบและรายละเอียดค่อนข้างเยอะครับ จริงๆแล้วการพ่นกันสนิมอย่างง่ายๆที่ทั่วๆไปทำกันก็ไม่ได้ยากอะไรครับ แค่ขับรถขึ้นแท่น แล้วผสมน้ำยาพ่นทันทีเลยก็ได้เหมือนกัน แต่ผลกระทบและสิ่งที่ตามมาอาจจะไม่คุ้มค่านัก
เช่นเรื่อง การปิดชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยา หรือการเก็บละอองสีหลังจากพ่นเสร็จ เรื่องพวกนี้ถ้าไม่ระวังหรือไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ อาจจะก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ครับ
ชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องปิดให้เรียบร้อยก่อนพ่น ก็จะมีโช้ค เพลาขับกลาง ท่อไอเสีย ลูกยางต่างๆ และของแต่งรถ ฯลฯ หรือส่วนต่างๆที่ลูกค้าต้องการให้พ่นหรือไม่พ่น อันนี้ต้องคุยกันกับลูกค้าก่อน แต่ถ้าไม่มีอะไรพิเศษเพิ่มเติม ก็จะประมาณนี้ครับ
อย่างเช่นพวกลูกยางต่างๆนั้น ถ้าไปพ่นโดน พอน้ำยามันแข็ง ลูกยางก็จะเสื่อมสภาพได้ง่ายครับ หรืออย่างท่อไอเสีย เป็นชิ้นส่วนที่มีความร้อน และต้องการคลายความร้อนตลอดเวลา หากมีน้ำยาไปติด สักพัก มันจะไหม้และส่งกลิ่นเหม็นได้ครับ การกระจายความร้อนก็จะแย่ลงไปด้วย ยังไม่รวมกลิ่นเหม็นที่อาจตามมาด้วยครับ
ซึ่งเท่าที่ทราบจากลูกค้ามา การไปพ่นกันสนิมกับอู่หรือร้านที่ไม่ได้เน้นตรงนี้เป็นพิเศษ ก็มักจะก่อปัญหาอย่างที่กล่าวไปข้างต้น ที่จะเห็นได้ชัดๆหน่อยก็คือ การแถมพ่นกันสนิมฟรีมากับรถใหม่ป้ายแดง อันนี้ลูกค้าส่วนมาก มักจะไม่ทราบว่า ทางศูนย์ที่เราไปออกรถนั้น เขาจะนำรถป้ายแดงของเราไปพ่นกันสนิมให้ที่อู่อีกทีหนึ่ง ไม่ได้พ่นกันสนิมมาจากโรงงานโดยตรงครับ เพราะฉะนั้น งานจะออกมาดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับอู่ที่เขาเอารถเราไปทำนั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวกับยี่ห้อรถ หรือโรงงานผลิตแต่อย่างใดครับ
ที่เจอหนักสุดๆมาเลยคือ พ่นกันสนิมเฉพาะแชทซี แล้วเลอะช่วงล่างหนักมากครับ ละอองปลิวกระจายเต็มไปหมด เอารถขึ้นฮ้อยส์ถึงได้ทราบว่า ช่วงล่างนั้นเละแค่ไหน แถมยังมีละอองน้ำยาพ่นที่แห้งแข็ง กระจายติดอยู่เต็มรอบคันรถไปหมด นั่นเพราะหลังพ่นเสร็จ ไม่ได้มีการเช็ดน้ำยาออกก่อนที่มันจะแห้งนั่นเองครับ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละร้าน ว่าจะมีการลงรายละเอียดให้ได้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นและสัมผัสมา งานที่มีรายละเอียดเยอะ จะต้องใช้เวลานานครับ ถ้ารถคันนึงใช้เวลาทำการพ่นแค่ชั่วโมงเดียวเสร็จ อันนี้ให้พึงระวังครับ ว่างานอาจจะไม่ได้มีการเตรียมผิวให้ดีก่อนพ่น หรือหลังพ่นอาจจะไม่ได้มีการเก็บรายละเอียดที่เหมาะสมได้เช่นกัน
"การเตรียมความพร้อมก่อนพ่นกันสนิม มีอะไรบ้าง..?"
ร้านผมจะเน้นไปที่การ "เคลียร์ผิวให้สะอาด" กับการ "ปกป้องชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยาพ่น" ครับ
การเคลียร์ผิว นั่นก็คือการล้างอัดฉีดช่วงล่างให้สะอาด คราบดินคราบโคลนต้องหายหมดครับ ไม่งั้นพ่นไม่ติดแน่นอน ถ้าไปอู่ที่ขับรถมาถึงแล้วขึ้นพ่นเลยทันที ตัวน้ำยาก็น่าจะยึดเกาะได้ไม่ดีเท่าที่ควรนัก
หลังจากล้างสะอาดแล้ว ก็ต้องเช็ดให้แห้งครับ ผมจะนำรถขึ้นแท่นแล้วเป่าช่วงล่างให้แห้งก่อน พร้อมกับเริ่มปิดกระดาษป้องกันชิ้นส่วนที่ไม่ควรโดนน้ำยาด้วย อย่างเช่น โช้ค เพลาขับกลาง ท่อไอเสีย หรือลูกยาง อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นครับ
รวมไปถึง การปิดกระดาษและคลุมรถรอบคันเพื่อป้องกันละอองน้ำยาที่ฟุ้งกระจายระหว่างพ่น ให้มาโดนผิวตัวรถน้อยที่สุดครับ แต่แม้จะปิดหรือปกป้องดีแค่ไหนก็ตาม ยังไงก็จะยังคงมีละอองที่ละเอียดและมองเห็นได้ยาก ปลิวมาติดตัวรถไม่มากก็น้อยแน่นอนครับ ซึ่งถ้าเราปล่อยทิ้งไว้ ก็จะทำให้ละอองสีนั้นแข็งตัว และเกาะกับผิวแลคเกอร์รถเรา ทำให้รถเราหมองและสากมือได้ เหมือนมีละอองสีจำนวนมากมาติดที่ตัวรถเราครับ ^ ^
ซึ่งนั่นคือเหตุผลหลักๆ ที่เราต้องมีกระบวนการเช็ดผิวเก็บรายละเอียดของงานพ่นกันสนิม หลังจากพ่นเสร็จแล้วนั่นเองครับ
สิ่งที่ต้องระวังหลังจากพ่นกันสนิม
หลังจากพ่นกันสนิมเสร็จแล้ว เราต้องเก็บละอองสีที่ปลิวมาติดข้างตัวรถเราให้ละเอียดที่สุดครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแข็งตัวของละอองสี และอาจจะกัดผิวเคลียร์โค้ทหรือชั้นแลคเกอร์ของตัวรถได้
ส่วนการใช้งานรถหลังจากออกจากร้านไปแล้วนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวลมากมายเท่าไหร่นักครับ นอกจากเรื่องของการระวังการล้างอัดฉีดจากร้านที่เราไม่รู้จักเท่านั้น เพราะร้านคาร์แคร์บางร้าน ที่พนักงานไม่เคยเห็นงานพ่นกันสนิมช่วงล่าง อาจจะเปิดหัวปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ปรับเป็นหัวเข็มเพิ่มความแรงอีกต่างหาก พ่นยิงอัดช่วงล่างรถเราหวังจะให้คราบไคลหลุดออกไปมากที่สุด
ปืนแรงดันน้ำพวกนี้ ถ้าผ่านปั๊มน้ำที่มีแรงดันสูงกว่า 100 bar ขึ้นไป การปรับหัวปืนฉีดให้เป็นแบบเข็ม จะเพิ่มแรงดันสูงมากๆในระยะยิงที่ใกล้ปากกระบอกฉีด ซึ่งบางครั้ง แรงดันขนาดนี้ ยิงปูนตรงๆ ปูนยังแตกร้าวได้ หรือยิงที่ตัวสีรถตรงๆ สีอาจจะลอกหลุดได้เลยครับ นับประสาอะไรกับสารเคลือบกันสนิมช่วงล่าง ถ้าโดนแรงดันสูงขนาดนั้นเข้าไปในระยะใกล้ๆ ก็อาจจะหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นๆได้
ซึ่งพนักงานล้างอัดฉีดช่วงล่างที่ไม่มีประสบการณ์ อาจจะมองเห็นว่าคราบที่หลุดนั้นคือสิ่งสกปรกที่ติดแน่น จึงยิ่งอัดฉีดเพื่อลอกคราบเหล่านี้ออกให้หมด โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆแล้วนั่นคือชั้นเคลือบป้องกันสนิมของรถเรานั่นเองครับ
แม้จะเจอกรณีนี้ได้ยาก แต่ก็ระวังไว้สักหน่อย ย่อมไม่เสียหายนะครับ
หลังจากพ่นกันสนิมเสร็จแล้ว เราต้องเก็บละอองสีที่ปลิวมาติดข้างตัวรถเราให้ละเอียดที่สุดครับ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแข็งตัวของละอองสี และอาจจะกัดผิวเคลียร์โค้ทหรือชั้นแลคเกอร์ของตัวรถได้
ส่วนการใช้งานรถหลังจากออกจากร้านไปแล้วนั้น ไม่มีอะไรต้องกังวลมากมายเท่าไหร่นักครับ นอกจากเรื่องของการระวังการล้างอัดฉีดจากร้านที่เราไม่รู้จักเท่านั้น เพราะร้านคาร์แคร์บางร้าน ที่พนักงานไม่เคยเห็นงานพ่นกันสนิมช่วงล่าง อาจจะเปิดหัวปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ปรับเป็นหัวเข็มเพิ่มความแรงอีกต่างหาก พ่นยิงอัดช่วงล่างรถเราหวังจะให้คราบไคลหลุดออกไปมากที่สุด
ปืนแรงดันน้ำพวกนี้ ถ้าผ่านปั๊มน้ำที่มีแรงดันสูงกว่า 100 bar ขึ้นไป การปรับหัวปืนฉีดให้เป็นแบบเข็ม จะเพิ่มแรงดันสูงมากๆในระยะยิงที่ใกล้ปากกระบอกฉีด ซึ่งบางครั้ง แรงดันขนาดนี้ ยิงปูนตรงๆ ปูนยังแตกร้าวได้ หรือยิงที่ตัวสีรถตรงๆ สีอาจจะลอกหลุดได้เลยครับ นับประสาอะไรกับสารเคลือบกันสนิมช่วงล่าง ถ้าโดนแรงดันสูงขนาดนั้นเข้าไปในระยะใกล้ๆ ก็อาจจะหลุดลอกออกมาเป็นแผ่นๆได้
ซึ่งพนักงานล้างอัดฉีดช่วงล่างที่ไม่มีประสบการณ์ อาจจะมองเห็นว่าคราบที่หลุดนั้นคือสิ่งสกปรกที่ติดแน่น จึงยิ่งอัดฉีดเพื่อลอกคราบเหล่านี้ออกให้หมด โดยหารู้ไม่ว่า จริงๆแล้วนั่นคือชั้นเคลือบป้องกันสนิมของรถเรานั่นเองครับ
แม้จะเจอกรณีนี้ได้ยาก แต่ก็ระวังไว้สักหน่อย ย่อมไม่เสียหายนะครับ
..............................
สุดท้าย.... แนะนำการขายของร้านครับ
เวิ่นเว้อมาเสียยาวเหยียด จะไม่ปิดการขายก็คงใช่ที่
แนะนำให้ลูกค้าที่สนใจบริการพ่นกันสนิมร้านเรา สามารถเข้าไปเยี่ยมชมรายละเอียดงานพ่นได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ
>> พ่นกันสนิม ช่วงล่าง รถเก๋ง รถกระบะ ศรีราชา ชลบุรี บางแสน พัทยา สัตหีบ <<
หรือเข้าไปติดตามเพจ Facebook ของเรา เพื่อเยี่ยมชมผลงานเก่าๆ รีวิวจากลูกค้า และติดตามข่าวสารของร้านได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ
>> ชิลคาร์แคร์ พ่นกันสนิม เคลือบแก้ว ศรีราชา ชลบุรี <<
รวมภาพผลงานพ่นกันสนิม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น