สเปรย์เคลือบแก้ว ดีไหม.... ใช้สเปรย์แล้ว ไม่ต้องไปเคลือบแก้วอีกเลย จริงหรือเปล่า??? (ชิลคาร์แคร์ พ่นกันสนิม เคลือบแก้ว ศรีราชา ชลบุรี)

ประเด็นนี้น่าสนใจมากครับ
เพราะเดี๋ยวนี้ เปิดเฟซบุ๊คไป ก็มักจะเจอโฆษณาขายสเปรย์เคลือบแก้ว(แท้)!?! ประกาศขายอยู่เกลื่อนไปหมด

ถามว่า มันเป็น "เคลือบแก้วแท้" จริงหรือไม่...??

ต้องขออธิบายสักนิดนึงก่อนนะครับ ว่า "เคลือบแก้ว" จริงๆแล้วเป็นยังไง



เคลือบแก้ว...คือสารประกอบตระกูลซิลิกา ที่จะทำปฏิกริยากับอากาศ โดยใช้ระยะเวลาหนึ่งเพื่อเปลี่ยนสถานะตัวเองจากของเหลว ไปเป็นของแข็ง
ซึ่งระยะเวลาที่ว่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและลักษณะของสารตั้งต้นด้วยครับ ว่าเป็นซิลิกาที่มีส่วนผสมเป็นอย่างไร

โดยสรุปคือ เคลือบแก้ว เมื่อปกติ จะอยู่ในสถานะของเหลว แต่เมื่อสัมผัสกับอากาศ จะเกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่น ทำให้ซิลิการวมตัวกับออกซิเจน และกลายเป็น ซิลิกาออกไซด์

ซึ่งเป็น "ของแข็ง"

นั่นก็หมายความว่า เมื่อเคลือบแก้ว ถูกเคลือบไปบนผิวรถของเราแล้วนั้น ในเวลาระยะหนึ่ง มันจะต้องเปลี่ยนจากของเหลว ไปเป็นของแข็งได้นั่นเองครับ

เพราะฉะนั้น นั่นคือสาเหตุที่ว่า น้ำยาเคลือบแก้วโดยปกติ จะต้องปิดกั้นตัวมันเอง จากอากาศภายนอกให้ได้มากที่สุด ขวดที่บรรจุ จะต้องมีซีลพลาสติก หรือจุกด้านใน ที่จะปิดกั้นไม่ให้อากาศเข้าไปสัมผัสกับน้ำยาเคลือบแก้ว ก่อนจะปิดด้วยฝาขวดอีกทีนึง

จะเห็นได้ว่า น้ำยาเคลือบแก้วโดยปกตินั้น จะต้องระวังเรื่องพวกนี้มากๆทีเดียวครับ

เพราะฉะนั้น กับน้ำยาที่ระบุว่าเป็น "สเปรย์เคลือบแก้ว" ที่ถูกบรรจุไว้ในขวดฟ็อกกี้
(ซึ่งต้องมีการเปิดปิดตลอดเวลา และไม่ได้ป้องกันของเหลวภายในจากอากาศภายนอกได้เลย) นั้น

ต้องบอกว่า ถ้าของเหลวด้านในเป็นน้ำยาจำพวกเคลือบแก้วจริงๆแล้วล่ะก็
มันจะจับตัวแข็งที่ปลายปากของฟ็อกกี้ จนฉีดพ่นใช้งานต่อไปไม่ได้แน่นอนครับ

ดังนั้น สรุปได้โดยไม่ยากเลยครับ
ว่า "สเปรย์เคลือบแก้ว" นั้น
ไม่ใช่เคลือบแก้วจริงๆ แน่นอนครับผม

"แต่เห็นในโฆษณามันฉีดแล้วเช็ด แล้วพอเอาขวดสเปรย์ไปวาง มันก็ลื่นปรึ๊ดๆเลยนะ"

ใช่ครับ
แต่ผมอยากให้แยกประเด็นเรื่อง "เคลือบแก้ว" กับ "ความลื่น" ออกจากกันเสียก่อนครับ

อย่างแรก เคลือบแก้วนั้น มันมีคุณสมบัติของการ "ป้องกัน" เป็นหลักครับ
สิ่งที่ได้เสริมเข้ามา และมีการปรับปรุงเพิ่มเติมไปเพื่อโฆษณา ก็มักจะเป็นเรื่อง "การไล่น้ำ" หรือ "ไฮโดรโฟบิกส์" พูดง่ายๆว่า เคลือบแล้ว ลื่น นั่นเอง

หลังจากเคลือบแก้วไปแล้ว เมื่อมีคุณสมบัติของ "การไล่น้ำ" อยู่ด้วย
ก็จะทำให้ผิวของชั้นเคลือบนั้น มีความลื่นเพิ่มขึ้นนั่นเองครับ
คนส่วนใหญ่เลยไปเข้าใจว่า "เคลือบแก้ว" แล้วต้อง "ลื่น" ไปซะงั้น

ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ตัว "เคลือบแก้ว" กับ "ความลื่น" มันคนละส่วนกันครับ ต้องแยกเรื่องนี้ก่อน


ส่วนเรื่อง "สเปรย์เคลือบแก้ว" นั้น
คือของเหลวที่มีคุณสมบัติเป็นแว็กซ์กลบผิวและริ้วรอยของแลคเกอร์อ่อนๆครับ
มั้นจะเข้าไปเติมเต็มความไม่สม่ำเสมอของผิวแลคเกอร์ได้ พร้อมกับสร้างชั้นเคลือบบางๆ ที่จะช่วยให้ผิวสัมผัสนั้น "ลื่นมากขึ้น" ได้นั่นเองครับ

เปรียบง่ายๆ ก็เหมือนกับว่า
การใช้สเปรย์เคลือบแก้ว (ซึ่งไม่ใช่เคลือบแก้วจริงๆ แต่แค่ทำให้ผิวลื่น คล้ายเคลือบแก้ว)
คล้ายกับการลง "รองพื้นแต่งหน้า"
มันช่วยทำให้หน้าเราดูเนียนขึ้นครับ แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันอะไรให้ใบหน้าเราเท่าไหร่

ส่วนการเคลือบแก้วจริงๆนั้น
เหมือนการ "ใส่หน้ากาก" ครับ
มันช่วยปกป้องเราเป็นหลัก
และก็ทำให้น้ำ หรือของเหลวต่างๆ ไม่ต้องสัมผัสกับหน้าเราโดยตรง
แต่ระยะหนึ่ง มันก็จะค่อยๆหายไปจากการใช้งานของเราเองครับผม ^^

ดังนั้น ถ้าสเปรย์ที่ใส่ขวดฟ็อกกี้ที่ฉีดรถแล้วทำให้ลื่นได้
ผมคิดว่า น่าจะเรียกมันว่า สเปรย์เคลือบเงา
หรือ สเปรย์เพิ่มความลื่น
น่าจะเหมาะกว่านะครับผม ^^

---------------------------------------------------------------

สนใจความรู้ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานเคลือบแก้ว พ่นกันสนิม คาร์แคร์
สามารถสอบถามได้ที่นี่เลยนะครับ

โทร. 093-545-9828
หรือเข้าไปเยี่ยมชมผลงานเพจเราได้ที่
https://www.facebook.com/chillcarcare/

เลยนะครับผม ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

่ท่อไอเสียรถยนต์...ควรต้องพ่นกันสนิมด้วยมั้ย???

ล้างอัดฉีด เป็นผลดีต่อช่วงล่าง จริงหรือไม่..??

ราคาพ่นกันสนิม ช่วงล่างรถยนต์ (ร้านชิลคาร์แคร์ พ่นกันสนิม เคลือบแก้ว ศรีราชา ชลบุรี)