เคลือบแก้ว เคลือบเซรามิค Ceramic Coating ศรีราชา ชลบุรี (064-4545-951)

ราคาโปรโมชั่นเคลือบแก้ว ... กดเลื่อนไปดูด้านล่างสุดได้เลยครับ ^^

ชิลคาร์แคร์ 0644545951

คำถามอมตะที่ลูกค้าส่วนมากชอบถามกัน...

เคลือบแก้ว/เคลือบเซรามิค คืออะไร? ดียังไง?

คำถามยอดฮิต สำหรับผู้เริ่มต้นและต้องการหาคำตอบเพื่อการดูแลรถที่ "สูงกว่า" การใช้งานรถปกติ...

เคลือบแก้ว / เคลือบเซรามิค
โดยพื้นฐานคืองานชนิดเดียวกันครับ

ถ้านำภาษาอังกฤษที่ใช้งานสำหรับโดยตรงมาเลย จะเรียกว่า
Ceramic Coating
หรือ
เซรามิค โคทติ้ง
(การเคลือบด้วยเซรามิค)




แต่ถามว่า มันคือ "เซรามิค" แบบ ถ้วยชามเซรามิคหรือเปล่า?
ตอบว่า "ไม่ใช่ครับ"
คนละเซรามิคกัน

เพียงแต่ ชื่อในภาษาอังกฤษเขาเรียกกันมาอย่างนี้แค่นั้นเอง
ส่วนน้ำยาเคลือบแก้ว หรือเคมีที่เป็นสารตั้งต้นของเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิคนี้
จริงๆมันคือ "ซิลิกา" หรือ ควอร์ทซ ครับ
มันจะมีลักษณะเป็นของแข็ง เป็นผลึกใส
พอเข้ามาในไทย ก็เรียกกันรวมๆไปว่า
"เคลือบแก้ว"
นั่นเองครับ

ซึ่งเคลือบแก้วแต่ละยี่ห้อ แต่ละแบรนด์ ก็มักจะเคลมว่า ยี่ห้อของตัวเองนั้นดีที่สุด
แต่เชื่อผมเถอะครับ
ว่าในตลาดบ้านเรา
มีของที่ "ดีที่สุด"
และของที่ "ห่วยที่สุด" อยู่ด้วย จริงๆ

ผมไม่สามารถพูดชื่อยี่ห้อได้ (เพราะเดี๋ยวโดนฟ้อง)
แต่ผมได้ลองซื้อของในตลาดมาใช้งานเป็นจำนวนมาก หลายยี่ห้อเลย
(แทบจะทั้งหมดเท่าที่หาได้ในเน็ต)

มีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง
คุณภาพดี คุณภาพแย่
ติดทนได้นาน
หรือแม้แต่ ติดอยู่แค่อาทิตย์เดียว ก็มี

ถามว่ามันคือเคลือบแก้ว "แท้" ใช่ไหม
คำตอบคือ "ใช่ครับ"

แต่แท้แล้วดี กับแท้แล้ว "ห่วย" อันนี้ ต่างกันเยอะครับ

เคลือบแก้วในตลาดบ้านเราตอนนี้ มีเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
(ก.ไก่ 10 ล้านตัว)

ดังนั้น ปัญหาของลูกค้าเจ้าของรถส่วนใหญ่ จึงไม่ใช่การหาร้านเคลือบแก้วไม่ได้
แต่คือการที่ได้เคลือบแก้วมาแล้ว
ไม่รู้จริงๆว่า มันเคลือบแก้วแล้ว ดีหรือไม่ดีกันแน่
ดีมากหรือดีน้อย
ดีจริงหรือเปล่า


กลับมาที่คำถามตั้งต้นตอนแรก...

เคลือบแก้ว (หรือเคลือบเซรามิค) คืออะไร?

ตอบ...
เคลือบแก้ว คือ
การใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของซิลิกาเหลว มาเคลือบผิวสีของรถ ตรงบริเวณที่เป็นแลคเกอร์รถ ที่มีความเงา

เพื่อเพิ่มคุณสมบัติหลักๆ 4 ข้อ ด้วยกัน

1. การป้องกัน
เคลือบแก้ว จะทำหน้าที่ เหมือนปกหนังสือ หรือฟิล์มกันรอยติดโทรศัพท์
มันจะปกป้องของแข็งที่มากระทบผิวรถเรา ลดแรงกระแทกของสิ่งต่างๆที่กระเด็นใส่รถเรา
คือ Absorb แรงนั่นแหละครับ
จากความแรง 10
ถ้าไม่มีเคลือบแก้ว ผิวรถเราก็รับแรงกระแทกเต็มๆไป 10

แต่ถ้ามีเคลือบแก้ว จากแรงมา 10
ถึงผิวรถเราอาจจะลดเหลือ 2-3

นั่นทำให้ผิวรถเรานั้น ในระยะยาว จะเกิดรอยขึ้นน้อยกว่า รถที่ไม่ได้เคลือบแก้วเป็นอย่างมาก
แต่นั่นต้องหมายถึง เคลือบแก้วที่ "คุณภาพดี" เท่านั้นนะครับ

เพราะเคลือบแก้วที่ไม่ดี หรือพวกเคลือบแก้วที่เป็นสเปรย์ ส่วนมาก การปกป้อง จะน้อยกว่าเคลือบแก้วที่เป็นของแข็งเยอะมากทีเดียว

คือเคลือบไว้ไม่นาน เผลอๆ 1-2 อาทิตย์ ก็หายไปจนหมดแล้ว

เพราะฉะนั้น
ถ้าเจอน้ำยา หรือสเปรย์ "เคลือบแก้วแท้"
ให้พึงสังเกตุไว้เลยครับ ว่า
ส่วนใหญ่ ถ้าของแท้จริงๆ
เขาจะไม่โฆษณาแบบนี้

แต่ของที่มันแท้ไม่มาก
จะใช้คำพวกนี้เยอะครับ

ผมไม่ได้บอกว่า
สเปรย์เคลือบแก้วทุกตัวเป็นของเก๊นะครับ
เพียงแต่ว่า
มันอาจจะแท้ แต่คุณภาพ และระยะเวลาทนทานของมัน ไม่ได้เยอะมาก
เท่ากับเคลือบแก้วที่เป็นของนำเข้า หรือ Ceramic Coat จากแบรนด์ดังๆที่มีชื่อเสียงระดับโลกจริงๆ

ดังนั้น ถ้าพูดถึง "การป้องกัน" 
"โล่ห์ +10" ดีกว่า "โล่ห์ +1" ฉันใด

เคลือบแก้วที่คุณภาพดีกว่า
ย่อมต้องปกป้องได้ดีกว่าเคลือบแก้วที่คุณภาพด้อยกว่า...ฉันนั้น

นั่นเองครับ...

--------------------------------

2. ลดการยึดเกาะ

คุณสมบัติที่เป็นคุณสมบัติที่ชัดที่สุดอีกอย่างของ "เคลือบแก้ว" ก็คือ
คุณสมบัติ...
"น้ำไม่เกาะ"
นั่นเองครับ
หรือจะเอาจริงๆคือ
"สารเคมีภายนอกใดๆ ไม่เกาะ หรือเกาะผิวได้ยาก" นั่นแหละครับ

ที่ต้องอธิบายแบบนี้
เพราะคนส่วนใหญ่ เข้าใจว่า เคลือบแก้วดีๆ น้ำจะไม่เกาะ
คือมันก็ถูกครับ
แต่จริงๆเราเคลือบแก้ว เพราะต้องการคุณสมบัติที่เรียกว่า

"Hydrophobics" หรือ "การไล่น้ำ"

เอาง่ายคือ น้ำที่มากระเด็นโดนรถเรา จะเกาะตัวได้ยาก หรือติดผิวรถเราได้ยากขึ้นนั่นเองครับ
ซึ่งนั่นรวมไปถึง สารเคมีชนิดอื่นๆด้วย
เช่น
ขี้นก
ยางไม้
ยางมะตอย
สีสเปรย์
โคลน
น้ำทะเล
หรือของเหลวแทบทุกชนิด

เพราะผิวของเคลือบแก้วที่ถูก Curing อย่างถูกวิธี
จะมีสภาพลดแรงเสียดทาน
หรือลดความสามารถในการ "ยึดเกาะ" ของสารใดๆภายนอก
แทบจะทั้งหมด

นั่นทำให้ เวลาโดนน้ำ ก็ดูเหมือน น้ำจะไม่เกาะ
หรือที่เรียกกันว่า
"Water Repelant"

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ
ด้วยคุณสมบัติข้อนี้เพียงข้อเดียว ก็ทำให้ผู้ผลิตหลายราย
สร้างสเปรย์ที่ลดแรงตึงผิวภายนอก พอเคลือบผิวรถแล้ว ทำให้น้ำไม่ค่อยเกาะ หรือเกาะได้น้อยลง จนดูเหมือน หรือดูคล้าย "เคลือบแก้ว"

และก็เอาน้ำยาตัวนั้น มาบอกว่าเป็น "เคลือบแก้วแท้"
นั่นเองครับ

ทั้งที่จริงๆแล้ว มันคือแว๊กซ์ ที่มีคุณสมบัติไล่น้ำ หรือลดแรงตึงผิวของน้ำได้ดีกว่าแว๊กซ์ปกติ เท่านั้นเองครับ

ดังนั้น ก็ให้ระวังการโฆษณาลักษณะนี้ให้ดีๆนะครับ
เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อของพวกนี้บ่อยๆ
และซื้อมาเคลือบเองแล้ว สุดท้าย ก็อยู่ได้ไม่นาน

กลายเป็นเสียเงินฟรีครับ

-----------------------------------------

3. ความเงางาม

จริงๆแล้ว "เคลือบแก้ว" นั้น จะช่วยเรื่องความเงางามได้ ไม่เยอะมากครับ
เคลือบแก้วที่เป็นของเหลว มีส่วนผสมของนาโนซิลิกาแท้ๆ ราคาจะสูงมาก
เพราะนาโนซิลิกา พออยู่ในอุณหภูมิห้อง
ได้สัมผัสอากาศ
มันจะเปลียนสภาพตัวเอง เป็นของแข็งได้นั่นเองครับ
(อย่างที่เราท่าน เห็นกันในเน็ตบ่อยๆ ที่เป็นรูป ผลึกใสๆคล้ายคริสตัล เวลาเขาโฆษณากันนั่นแหละครับ)

เพราะฉะนั้น ความผลึกของมันเนี่ยล่ะครับ ที่ช่วยให้รถเราดู "เงางาม" มากขึ้น
แต่ถ้าถามว่า รถเราทั้งคัน
ซื้อเคลือบแก้วมาลงเลย จะเงามั้ย

ตอบได้เลยครับ ว่า
"ไม่มีทาง"

เพราะถ้าไม่ได้ปรับสภาพผิวของแลคเกอร์รถ ก่อนลงเคลือบ รับรองได้เลยว่า เคลือบแก้วเสร็จออกมา ยังไงก็ไม่สวยแน่นอนครับ

เพราะฉะนั้น ผู้ขายน้ำยาเคลือบแก้วหลายเจ้า ก็มักจะเคลมว่า เคลือบแก้วของตนเองนั้น "เงา ฉ่ำ สวย ฯลฯ" แล้วแต่จะอวยกันไป

แต่เอาจริงๆแล้ว การที่จะทำให้รถเราสวยสุดยอดได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีการ
"ปรับสภาพผิว" หรือขัดสี อย่างถูกวิธีก่อนนั่นเองครับ

ซึ่งหลายๆครั้ง ผู้ขายมักไม่ได้ให้คำแนะนำกับลูกค้าในแง่ดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดการเข้าใจผิดขนาดใหญ่ ที่ว่า

"เคลือบแก้วแล้วรถเงา"

ซึ่งความเป็นจริงแล้ว
มันอาจจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลยก็ได้นั่นเองครับ

-----------------------------------

4. ยืดอายุ

เวลาที่รถเราเก่า สีซีด กระดับกระด่าง ไม่เงา หมอง มีคราบ หรือมีรอยบุบ แตก กระเทาะ ร่อน ขีดข่วน ฯลฯ ใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นบนผิวรถ

เจ้าของรถส่วนใหญ่ มักจะเลือกแก้ปัญหาความสวยงามนี้ ด้วยการ "เคลมสี"
หรือเอาง่ายๆก็คือ
"เคลมประกัน"
ให้ประกันรถยนต์นั้น ออกค่าทำสีรถให้ใหม่ทั้งคัน

ถ้าถามว่า ผิดมั้ย ก็คงตอบได้ว่า "ไม่" ครับ

แต่ การเคลมสีกับประกันนั้น
จะแลกมาด้วย 2 อย่างนี้ครับ

อย่างแรกคือ.... เบี้ยประกันที่แพงขึ้น

อย่างที่สองคือ.... ทุนประกันที่ลดลง

"เบี้ยประกัน" ก็คือ เงินที่เราต้องจ่ายให้ประกันทุกปี หรือค่าประกันภัยรถนั่นแหละครับ
ยิ่งเรามีการเคลม เบี้ยตัวนี้จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
เราก็มักจะแก้ปัญหาด้วยกัน เปลี่ยนบริษัทประกัน
คือซื้อประกันภัยในปีถัดไป กับบริษัทประกันเจ้าอื่น

อันนี้คือสิ่งที่ทำกันบ่อยและง่ายๆเลยนั่นเองครับ
แน่นอนว่า ถ้าเราเคลมสี เบี้ยเราจะเพิ่มครับ
และประวัติเรา ต่อให้ย้ายบริษัทประกันในปีหน้า
จริงๆแล้วเบี้ยเราก็ไม่ได้ถูกลงครับ
เพียงแต่ การเป็นลูกค้าใหม่ ของบริษัทประกันที่ใหม่
ย่อมต้องมีส่วนลด เพื่อเชิญชวนให้เข้ามาทำประกัน

เลยดูเหมือนว่า แทนที่จะไปเสียเบี้ยแพงๆให้ทีเดิม
ก็จะเลือกเบี้ยถูกๆในที่ใหม่
ง่ายกว่า

แต่.... อย่าลืมว่า
การทำประกันภัยรถยนต์นั้น
เบี้ยประกัน...สัมพันธ์กับ "ทุนประกัน" เสมอ

"ทุนประกัน" ก็คือ มูลค่าความคุ้มครอง ที่เราจะได้ เมื่อต้องมีการซ่อมรถนั่นเองครับ
ซึ่งทุนประกันนี้ จะอยู่ในเอกสารกรมธรรม์ประกันภัยของรถเราครับ
เปิดเก๊ะออกมาดูได้
ว่ารถเราตอนนี้ ปีนี้ ทุนประกันอยู่ที่เท่าไหร่

สมมติว่า ทุนประกันของเราเป็น 5 แสนบาท
นั่นแปลว่า ต่อให้รถเราเกิดอุบัติเหตุใดๆก็ตาม
วงเงินที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายให้ เพื่อซ่อมรถเรา ก็คือ ไม่เกิน 5 แสนบาทนั่นเองครับ

ดังนั้น ถ้าเกิดว่า ทุนประกันเราคือ 2 แสนบาท
สมมติว่า รถเราหาย โดนขโมย ไฟไหม้ ฯลฯ
หากขอบเขตประกันคุ้มครอง
ทางบริษัทประกัน ก็จะจ่ายเงินเพื่อซ่อมรถเราให้ไม่เกิน 2 แสนบาทครับ

หรือหากเราให้รถเพื่อนเรายืมไปขับ
แล้วเขาไปชนหนักมามากๆ
คือชนแรงเลย 
เคราะห์ดี เพื่อนไม่เป็นอะไร
แต่... รถพังยับ

ประเมินค่าซ่อมได้อยู่ที่ 3 แสนบาท
แต่ทุนประกันเราอยู่ที่ 2 แสน

ทางบริษัทประกันก็จะแจ้งเราว่า
จะให้ซ่อมรถเลยมั้ย โดยทางบริษัทจะจ่ายค่าซ่อมให้ 2 แสนบาท
แต่ส่วนต่างอีก 1 แสนบาท
ทางเจ้าของรถต้องเป็นคนจ่ายเอง

หรือ...
จะรับเป็นเงินสด 2 แสนบาท
แล้วรถไม่ต้องซ่อม
ขายซากทิ้งไปเลยดี

อันนี้ ก็อยู่ที่เจ้าของรถจะเลือกเองครับ

แต่นั่นจึงเป็นเหตุว่า
ในการต่อประกันภัยกับเจ้าใหม่
เราจึงควรต้องดูหรือพิจารณา ทั้ง "เบี้ยประกัน" และ "ทุนประกัน"
เพราะในแต่ละปี ตัวเลขพวกนี้ จะเปลี่ยนตลอด
เราจึงไม่ควรแก้ปัญหาเรื่องความสวยงามของรถ
ด้วยการเคลมประกัน ตลอดเวลา

อีกข้อสำคัญหนึ่งเลยคือ

การที่เราทำสีรถใหม่นั้น
คือการที่ช่างทำสี จะขูดสีรถดั้งเดิมเราออกทั้งหมด
เหลือเป็นเหล็กดำๆเลย
แล้วจึงพ่นสีใหม่
และพ่นแลคเกอร์ตามไปให้เงา
ก่อนจะขัดสี ส่งรถให้เรา

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือ
รถที่ทำสีโดยช่างคนใดก็ตาม
มักจะไม่ได้คุณภาพ เท่ากับรถที่ทำสีมาจากโรงงานผลิตรถยนต์แต่แรก
เพราะโรงงานนั้น ใช้โรบอต หรือหุ่นยนต์ในการพ่นสี

แต่อู่ทำสี ใช้มือคน
ช่างแต่ละคน มีฝีมือ ประสบการณ์แตกต่างกันออกไป
ทำให้งานพ่นสีใหม่ที่ได้นั้น
อาจจะสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง
แล้วแต่ดวง

แต่โดยพื้นฐานแล้ว
ไม่สวยเท่ากับรถใหม่จากโรงงานแน่นอนครับ

* บางท่านอาจจะเคยเห็น ที่แลคเกอร์รถเวลาส่องแสงแดด จะเห็นเป็นริ้วๆ เงารุ้งขึ้นมาเลย ไม่เรียบเนียนสวยงาม เหมือนรถในมอเตอร์โชว์ นั่นเพราะงานทำสี พ่นสี ทำได้ไม่ดีนั่นเองครับ

หรืออีกกรณีหนึ่งคือ พ่นมาแล้ว ครึ่งปี แลคเกอร์ลอก หลุดมาเป็นแผ่นๆเลยก็มีเหมือนกันครับ

ดังนั้น ส่วนตัวผมเองแล้ว
ถ้ารถไม่ได้เกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนมาหนักจริงๆ
ผมจะไม่ทำสีทั้งคันเด็ดขาด

เพราะนอกจากเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมดแล้ว
การทำสีใหม่ จากอู่ใดก็ตาม
รถที่ทำสีของเรานั้น ตอนที่เอาไปขายต่อ
เต๊นท์รถมือสอง จะประเมินราคารถเราลงมาอีกอย่างน้อย 5 หมื่น ถึง 1 แสนบาท ครับ

ตัวเลขกลมๆคือ
50,000 - 100,000 บาท
บางคันอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้นได้ในบางกรณี

เต๊นท์รถไม่ได้ผิดนะครับ มันเป็นเรื่องปกติที่เต๊นท์ที่ไหนก็ทำกัน
แต่เจ้าของรถส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยทราบนั่นเอง

ตอนเราซื้อรถ เราเลือกรถสักคัน บางท่าน มองเรื่องการขายต่อได้ราคาดี เป็นเหตุผลหนึ่งในการซื้อรถคันนั้นๆด้วย

แต่ตอนขายรถออกไป กลับโดนกดราคาจนราคาต่ำลงไปมากมาย
เพียงเพราะไม่ทราบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้นั่นเองครับ

น่าเสียดายแทน....


*********************************************************

รถ(ของเรา) ควรต้องเคลือบแก้วมั้ย?

ตอบสั้นๆได้เลยว่า
ไม่ได้จำเป็นครับ
แต่ เคลือบแก้วไว้ ดีกว่าไม่เคลือบแน่นอน

นั่นเพราะว่า เหตุผลตามที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นนั่นเองครับ
ถ้าให้สรุปโดยย่อเลยคือ

1. รถจะสวยงาม ดูใหม่ และเก่าช้ากว่ารถที่ไม่ได้เคลือบแก้ว อย่างเห็นได้ชัด ในระยะยาว

2. ถ้าเคลือบแก้วอย่างต่อเนื่อง เราอาจไม่ต้องทำสีรถใหม่เลย ตลอดอายุการใช้งานของรถ

3. การดูแลหลังการขาย จากร้านที่ดี ก็เหมือนมีคนมาคอยตรวจเช็คผิวรถเราให้ดูสวยงามอยู่ เป็นระยะ สม่ำเสมอ

4. รอยหิน รอยขีดข่วนต่างๆ เกิดขึ้นได้ แต่ช้ากว่ารถที่ไม่ได้เคลือบแน่นอน

5. ไม่ต้องเสียผลประโยชน์ทางด้านประกันภัย หรือเสียค่า Accept กรณีทำสีใหมทั้งคัน

6. ราคาขายต่อของรถ ไม่ตกต่ำลงโดยไม่จำเป็น


------------------

กลับมาในหัวข้อที่ว่า
แล้ว  เคลือบแก้ว มัน "จำเป็น" ต้องทำมั้ย?

ตอบได้เลยครับ
ว่า "ไม่จำเป็น" ครับ
เพราะรถที่เราใช้งานอยู่นั้น ไม่ได้มีเคลือบแก้ว แต่ก็ขับขี่ใช้งานได้ปกติ วิ่งกันได้ฉิวทุกคัน

แต่....
สิ่งสำคัญเลยก็คือ
มันเหมือนตอนเราซื้อโทรศัพท์ใหม่นั่นแหละครับ

ตอนนี้ มีใครซื้อโทรศัพท์มือถือแล้ว
ไม่ซื้อเคสมือถือ
ไม่ติดฟิล์มกันรอยบ้าง มีมั้ยครับ?

อาจจะมีครับ แต่น้อย....

การเคลือบแก้ว(หรือพ่นกันสนิม) รถ ก็เช่นกันครับ
มันไม่ได้จำเป็น เพราะไม่ทำ รถก็วิ่งได้

แต่มันมีผลประโยชน์
ในแง่ของความสวยงาม และการใช้งานในระยะยาว
อย่างมีนัยสำคัญนั่นเองครับ

ถ้าเคลือบแก้วไม่ได้มีประโยชน์
ป่านนี้มันหายไปจากตลาดนานแล้วครับ

เพียงแต่ ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
การแข่งขันที่สูงขึ้น
เคลือบแก้วใหม่ๆ ที่มาทำตลาด แต่คุณภาพไม่ได้ดีมากนัก
เริ่มออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ

ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่ เข้าใจว่า
เคลือบแก้วแต่ละยี่ห้อ
แต่ละแบรนด์
แต่ละร้าน

เหมือนกันไปหมด

แต่ความเป็นจริงคือ
มันไม่เหมือนกันครับ
ฟิล์มกันรอย ยังมีหลายแบบ
ทั้งแบบใส แบบด้าน ฟิล์มกระจก กระจกนิรภัย พลาสติกหุ้มรอบ ฯลฯ และอีกมากมาย

เคลือบแก้วก็เหมือนกันครับ
ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจตรงนี้ก่อน
ก็มีโอกาสสูง
ที่เราจะได้เคลือบแก้วที่
"คุณภาพ" ไม่ได้ดีเท่ากับ "ราคา"

หรือไม่คุ้มค่าต่อเงินที่เราจ่ายไปนั่นเองครับ

ดังนั้น การเคลือบแก้ว
สิ่งสำคัญ
อาจจะไม่ใช่การเลือกว่า "จะทำ" หรือ "ไม่ทำ"

แต่คำถามที่ควรต้องตอบให้ได้คือ
เราเลือก "เคลือบแก้ว" ได้ของดี มีคุณภาพจริงๆแล้วหรือยัง 
มากกว่านั่นเองครับ...


***************************************************

ทำไมต้องมาเคลือบแก้วกับร้านเรา?

จริงๆงานเคลือบแก้วส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างคล้ายกันในวิธีการทำงานครับ
สิ่งที่ต่างกันจริงๆแล้ว หลักๆคือ การเตรียมผิว ผลิตภัณฑ์การขัดสีผิว และตัวน้ำยาเคลือบแก้วนั่นเองครับ

เกรดน้ำยาเคลือบแก้วในตลาดไทยตอนนี้ มีหลายแบบหลายชนิดมาก
ตั้งแต่หลักร้อย จนถึงหลักพัน

จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมได้ลองน้ำยาเคลือบแก้วมาประมาณ 10-20 ยี่ห้อได้
ก็พบว่า ตลาดนี้ มีของดีมาก ไปจนถึงของห่วยมาก อยู่จริงๆครับ

เคลือบแก้วราคาถูกที่ผมลองใช้แทบทุกตัว จะมีสารซิลิกาอยู่จริง แต่พอลองเอามาเคลือบผิวรถที่เตรียมผิวรอไว้แล้ว มันกลับยืนระยะนานๆไม่ได้

ส่วนใหญ่จะค่อยจางหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์
เอาง่ายๆว่า เกินเดือนก็ยากแล้วครับ

แต่ถ้าเป็นเคลือบแก้วที่คุณภาพดีหน่อย จะอยู่ได้ทนนานกว่าอย่างเห็นได้ชัดครับ
การป้องกันจะมีความทนทานชัดเจนกว่าค่อนข้างเยอะ
ความลื่นที่ผิวก็มากกว่า
ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทีนี้ ถามว่ายี่ห้อที่ดีๆนั้น มีในไทยบ้างไหม?
คำตอบคือ..
"มีครับ"

แต่ราคามันสูงเกินกว่าคุณภาพและปริมาณไปพอสมควร
เอาง่ายๆว่า ราคาของแบรนด์ในไทยเจ้าหนึ่ง
สามารถซื้อแบรนด์ต่างประเทศได้ 2 ขวดเต็มๆในราคาเท่ากัน

หรือเอาง่ายๆว่า แพงกว่าเจ้าที่เป็นแบรนด์ดังเกือบ 2 เท่า

ทำไมยี่ห้อที่ไม่ดัง หรือแพงกว่ายี่ห้อที่ดังกว่า
ดูย้อนแย้งนิดนึงจริงไหมครับ
ตรงนี้ผมก็ตอบได้ยากครับ เพราะไม่รู้ว่าหลักการตั้งราคานั้น แต่ละแบรนด์เขาตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไร

แต่ในมุมของผมเอง จะเน้นไปที่คุณภาพเป็นหลักครับ
ลองเอามาเคลือบรถตัวเอง เคลือบรถคนรู้จัก ติดตามผล ดูความเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ

เลยทำให้กว่าจะได้บทสรุปแต่ละครั้ง ต้องกินเวลานานกันเลยทีเดียวครับ
บางยี่ห้อ (ที่ดีๆหน่อย) รอกันเป็นปีๆ เพื่อจะยืนยันว่า น้ำยามันคงทนกว่า อยู่ได้นานกว่าจริงๆ

บางครั้งต้องเอาน้ำยา 3-4 ตัว คนละยี่ห้อกัน มาเคลือบบนรถคันเดียวกัน แล้วค่อยๆเช็ค ค่อยๆตรวจสอบเป็นระยะๆ ว่ามันมีผลในระยะยาวแตกต่างกันบ้างไหม

นั่นเลยทำให้วันนี้ ผมสามารถเลือกได้ค่อนข้างง่ายครับ
ว่าแบรนด์ไหน หรือยี่ห้อไหน
ที่คุณภาพ และราคา เหมาะสมในการนำมาเคลือบรถให้ลูกค้ามากกว่า

******************

"ไม่ยึดติด แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง"

ผขออธิบายภาพรวม ในฐานะผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการงานเคลือบแก้ว สักหน่อยละกันนะครับ

ยี่ห้อของเคลือบแก้ว แต่ละแบรนด์ จะมีลักษณะของการทำแบรนด์แตกต่างกันไปครับ

แบรนด์ที่ใหญ่ หรือต้องการทำตลาด จะเน้นการขายส่ง ผลิตภัณฑ์เคลือบแก้ว ให้กับร้านคาร์แคร์ โดยจะมียอดสั่งที่บังคับขั้นต่ำในปริมาณมากๆ

เพื่อให้ร้านคาร์แคร์ มีสิทธิ์ใช้ชื่อแบรนด์ของเขา ติดที่ร้าน
หลายๆท่านคงเคยเห็นนะครับ
ที่บางร้าน จะมีป้ายโชว์ชื่อยี่ห้อของสินค้าอยู่เหนือร้านตัวเอง
อันนั้นคือสิทธิ์ในการใช้แบรนด์
ซึ่งเจ้าของร้าน ก็ต้องสั่งซื้อ ทำสัญญา กับเจ้าของแบรนด์ เพื่อจะได้ใช้สิทธิ์ในการพรีเซนต์แบรนด์นั้นในร้านตัวเอง

ซึ่งมันทำให้เจ้าของร้าน จำเป็นต้องสั่งของมาจำนวนมาก
และต้องรีบทำการตลาดให้มากๆเข้า เพื่อจะได้ขายของออกได้หมดเร็วๆ จะได้มีกำไร

แต่เจ้าของแบรนด์นั้น มีกำไรทันทีตั้งแต่เปิดบิลแรก
หรือมีการสั่งซื้อขั้นต่ำในครั้งแรก
รวมถึงการสั่งซื้อครั้งต่อๆไปตามมา
ยิ่งถ้าในสัญญาเปิดบิลแรก มีการระบุด้วยว่า ห้ามใช้ยี่ห้ออื่น
ก็ยิ่งจะเป็นการผูกพันธะกันยาวๆ

เจ้าของแบรนด์ก็ได้รับการซื้อซ้ำจากเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านก็ต้องขายของแบรนด์นี้อย่างเดียว
ก็เลยจะมีการโฆษณาว่า แบรนด์นี้ ดีอย่างนั้นอย่างนี้
ซึ่งจะเกินจริงมากน้อยแค่ไหนไหม่สำคัญ

สำคัญที่
"ลูกค้า" หรือ "เจ้าของรถ" นั้น
แทบจะไม่สามารถรู้ได้เลยครับ
ว่างานเคลือบแก้วเหล่านั้น
แท้จริงแล้ว
"ดีจริง" หรือไม่ กันแน่

อีกแบบหนึ่งก็คือ
ร้านคาร์แคร์ที่ไม่ได้มีต้นทุนในการเปิดบิลกับแบรนด์เหล่านั้น
ก็จะไม่สามารถซื้อสินค้บางยี่ห้อได้
เพราะเขาไม่ขายให้รายย่อย
ก็ต้องไปซื้อปลีกมาในราคาที่สูงหน่อย
และขายงานไปเรื่อยๆจนของหมด

ข้อดีก็คือ มันไม่ต้องยึดติดกับแบรนด์ในแบรนด์หนึ่งครับ มันเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
แต่ข้อเสียคือ
ถ้าหากว่าเจ้าของร้านไม่ได้มีความรู้
หรือพยายามตั้งใจที่จะ Test เพื่อหาสินค้าที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา
ก็มักจะพลาดในการติดตามด้านคุณภาพกันบ้าง ไม่มากก็น้อย

เพราะหากคุณใช้ของแบรนด์ดังๆใหญ่ๆ
เขาก็มักจะมีทีมงานที่คอยสุ่มตรวจสินค้า
หรือเช็คคุณภาพของให้ได้อย่างต่อเนื่อง
รวมไปถึง การรับเคลมสินค้า กรณีสินค้าไม่ได้มาตราฐานด้วยเช่นกัน

ดังนั้น..
หากถามผมว่า แบบไหนดีกว่า
ผมก็คงตอบยากครับ
เพราะผมเองไม่ชอบการผูกขาด ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งในร้านตัวเองไปยาวๆ
เพราะเชื่อว่า
มันไม่มีอะไร "ดีที่สุด" ตลอดกาลจริงๆ
อาจดีที่สุดในช่วงๆหนึ่งได้
แต่การแข่งขันมันจะทำให้สินค้ามีการพัฒนาอยู่ตลอด

บางยี่ห้อที่เคยแพง ผ่านไป 2-3 ปี ก็ปรับราคาลงมาได้อย่างมาก
เหมือนทีวี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด
ราคาตกลงมาอย่างน่าใจหาย

หลักๆเพราะว่า เทคโนโลยีที่พัฒนามากขึ้น
ทำให้เราได้ของที่ดีขึ้นในราคาเท่าเดิม
หรือได้ของที่เหมือนเดิมในราคาที่ถูกลงได้

เพราะฉะนั้น นี่คือข้อเสียอีกอย่าง ของแบรนด์ที่ "ใหญ่กว่า" ด้วยเช่นกันครับ
ถ้าแบรนด์เหล่านั้น ปรับตัวไม่ทันโลก
ก็อาจจะกลายเป็นค่อยๆถูกแบรนด์เล็กๆย่อยๆ ตีจนลำบาก ยอดขายตกได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้น ผมคงไม่บอกว่า แบบไหนดีกว่า
ส่วนตัวผมเอง ผมตรวจสอบหาแบรนด์ที่ดีใน "ระดับโลก"

ใช่ครับ
"ระดับโลก"

หรือ World Class กันเลยทีเดียว
จะหาทั้งที ก็ขอของดีๆไปเลย
ถ้ายี่ห้อไหน ไม่ได้ติดรีวิวที่ดีที่สุดในโลกสักที่
ผมก็จะยังไม่เลือกมาใช้งาน หรือทดลองผลิตภัณฑ์

ไม่ได้บอกว่า ยี่ห้อเหล่านั้นไม่ดีนะครับ
แต่มันยังแค่ "ไม่มีชื่อเสียง" เพียงพอ 
ที่จะทำให้ผมสื่อสารกับลูกค้าของผม
เพื่ออ้างอิงได้ว่า ผมใช้ยี่ห้อนี้ๆ เพราะอะไร

บางยี่ห้อ สินค้าคุณภาพดีนะครับ
แต่ถ้าให้ลูกค้าจดชื่อไปหาแล้ว
เขาหาไม่เจอ
ไม่เห็นรีวิว
ที่เดียวที่มีรีวิว คือเว็บไซต์ของเจ้าของแบรนด์
(ซึ่งทำขึ้นมาเอง)

ซึ่งผมเองยังไม่เชื่อเท่าไหร่เลยว่า มันคือของจริง
แล้วจะให้ผมไปโฆษณาให้ลูกค้าร้านผมเชื่อตามได้อย่างไร
ถ้าผมเองยังไม่เชื่อเองด้วยแล้ว
จริงไหมครับ

เพราะฉะนั้น ผมเลยสกรีนผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ด้วย Fame หรือความมีชื่อเสียง

ตามมาด้วยเงื่อนไขในการสั่งซื้อ ราคา 

และสุดท้ายคือคุณภาพสินค้า

ซึ่งนั่นทำให้ผมได้ของที่ดี ในราคาที่เหมาะสม
แต่ก็แลกมาด้วย 
"เวลา" ในการทดสอบ ที่ค่อนข้างยาวนานกันเลยทีเดียวครับ

------------------

ดังนั้น หากถามว่า
"ทำไมต้องมาเคลือบแก้วที่ร้านผม"

ก็คือ อย่างที่ผมได้เขียนไปด้านบนทั้งหมดนั่นแหละครับ
ของดี ราคาถูก มีจริงไหม
มีครับ

แต่การทำให้ลูกค้า เข้าใจ เชื่อใจ และมั่นใจ
ได้ว่า ลูกค้าได้ของดีจริงๆ ในราคาที่เหมาะสม
คุ้มค่า คุ้มราคา
มันทำให้ผมกล้าที่จะเสนอขายสินค้าต่างๆเหล่านี้อย่างจริงใจ
และตรงไปตรงมา

ที่สำคัญ
อย่าลืมเรื่อง
"บริการหลังการขาย"
เด็ดขาดเลยนะครับ

เพราะการที่เราสนใจแต่การเคลือบแก้ว มากเกินไป
ก็อาจจะทำให้เราลืมไปเลยก็ได้ว่า

จริงๆแล้ว การดูแลรถ หลังการเคลือบแก้ว
ก็สำคัญไม่แพ้กัน

มันมีรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย
ที่เราต้องคอยดูแลผิวรถเป็นระยะๆ
หลักๆคือ

การใช้งานของรถลูกค้าแต่ละคัน มันไม่เหมือนกันครับ
บางคันจอดตากแดด
บางคันจอดใกล้โรงงานที่มีผงเคมี
บางคันจอดใกล้ที่ที่มีการทาสี พ่นสี
จอดใต้ต้นไม้
ขับผ่านทางลูกรัง
ทำถนน
ปูนไม่แห้ง
แอ่งน้ำเลอะสี
รถติดโดนเขม่าคราบน้ำมัน
ฯลฯ

และเหตุผลอีกร้อยแปดฯ เยอะมากครับ

นั่นคือเหตุผลที่รถแต่ละคัน
ต้องหมั่นคอยดูแล และตรวจสอบเป็นระยะๆ 
ว่าผิวรถเรา ไปเจอไปโดนอะไรมาบ้าง

นั่นคือเหตุผลอีกข้อ
ที่ลูกค้าร้านผมจะได้รับบริการหลังการขาย
ที่เหมาะสม และดีที่สุดในเวลานั้น
ตามแต่สภาพรถแต่ละคัน
โดยไม่ต้องยึดติดกับมาตราฐานของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งนั่นเองครับ

---------------------------------
ราคา Promotion เคลือบแก้วตอนนี้...!!!!

พิมพ์มาซะยาวเหยียด
กลับเข้ามางานขายกันบ้างครับ

ตอนนี้ผมทำโปรโมชั่นราคาเคลือบแก้วไว้หลักๆ
ประมาณนี้ครับ

รถกระบะ/SUV ทุกไซส์

เคลือบแก้ว ราคาเริ่มต้น ปกติ 13500 บาท
ลดเหลือ 6,990 บาท

เคลือบแก้ว Double Layered
เคลือบ 2 ชั้น 
Base Coat + Top Coat 
ราคาปกติ 18500 บาท
ลดเหลือ 8,990 บาท

เคลือบแก้ว Full Protect & Gloss 3 Layerd
3 ชั้น (2 Base coat + 1 Top coat)
ราคาปกติ 24500 บาท
ลดเหลือ 9,999 บาท

(รถเก๋ง ลดราคาอีก 500 บาท)

ไม่พอครับ....
ลูกค้าเคลือบแก้วร้านผมทุกคัน
แถมส่วนลด พ่นกันสนิมให้อีก
คันละ 1000 บาท

และ คูปอง ลดราคา 10%
สำหรับงานเคลือบแก้ว
ขัดสี
พ่นกันสนิม
ในคันต่อๆไป

ยังมีอีกครับ....
ลูกค้าเคลือบแก้วร้านผมทุกคัน
จะได้รับ ส่วนลด ค่าบริการเซอร์วิส หลังเคลือบแก้ว
จากปกติ การเซอร์วิส 1 ครั้ง ราคา 2500 บาท
ลดเหลือ 999 บาท

*** การเซอร์วิส ทำเพื่อให้รถที่เคลือบแก้วนั้น ดูสวย ใส เงา เหมือนใหม่ ให้ได้มากที่สุด ยิ่งทำบ่อย ทำถี่ ก็ยิ่งมีผลดีต่อรถ

*** ปกติจะทำกัน 3-6 เดือนครั้ง
แต่ร้านผม เน้นเอาที่ลูกค้าสะดวก จะทำเดือนละครั้ง หรือทำปีละครั้ง ก็ได้เหมือนกัน

*** แต่การทิ้งรถไว้นานๆ โดยไม่ดูแล ย่อมต้องทำให้เคลือบแก้วที่มีอยู่นั้น เสื่อมสภาพไปได้เร็วกว่ารถที่ดูแลบ่อยๆ ดังนั้น หากทิ้งช่วงไว้นาน ก็อาจมีบ้างที่จะฟื้นฟูได้ยากกว่าการมาทำบ่อยๆนั่นเองครับ ^^

///////////////////////////

หรือหากท่านใดต้องการงานที่ Premium มากกว่านั้น
ทางผมก็สามารถทำให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการเลยเช่นกันครับ
จะเคลือบแก้วมากกว่า 3 ชั้น
เพิ่มเคลือบแก้วกระจก
เพิ่มพ่นกันสนิม
ฯลฯ
เราทำได้หมดเช่นกันครับผม ^^

****************
ถึงตรงนี้
ท่านใดงง หรือสงสัยตรงไหน
สามารถเข้าไปสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจร้านผมเลยก็ได้นะครับ
ผมตอบเองทั้งหมด

link >>>> 

หรือถ้าไม่ทันใจ
ต้องการคุยโทรศัพท์
ฟังเสียงตัวเป็นๆ
ก็สามารถโทรได้เลยครับ
ที่เบอร์

064-4545-951

ขอบคุณสำหรับความมุ่งมั่น
ในการอ่านมาถึงตรงนี้ได้จริงๆครับ ^^
คุณเป็นสุดยอดนักอ่านตัวยงขั้นเทพ
ผมนับถือเลยครับ

ยังไงถ้ามีโอกาส หวังว่าเราจะได้เจอกันสักครั้ง เพื่องานเคลือบแก้วที่ดีที่สุด เท่าที่ผมจะบริการให้ลูกค้าได้นะครับผม ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

่ท่อไอเสียรถยนต์...ควรต้องพ่นกันสนิมด้วยมั้ย???

ล้างอัดฉีด เป็นผลดีต่อช่วงล่าง จริงหรือไม่..??

ราคาพ่นกันสนิม ช่วงล่างรถยนต์ (ร้านชิลคาร์แคร์ พ่นกันสนิม เคลือบแก้ว ศรีราชา ชลบุรี)